ความเข้าใจผิดที่แก้ไขยากสำหรับวงการฟิล์ม สืบเนื่องจากในยุคแรกๆ ฟิล์มมีไม่กี่ชนิดและมีไม่กี่ระดับความเข้มโดยมาตรฐานตอนนั้นจะมีเบอร์ที่เป็นมาตรฐานสากลคือ เบอร์ 5, 20, 50 ซึ่งตามมาตรฐานแล้วเบอร์ฟิล์มจะบ่งบอกถึงประมาณการณ์ของค่าแสงส่องผ่าน เช่น ฟิล์มรหัส xx 05 จะหมายถึงฟิล์มเบอร์นี้แสงสามารถส่องผ่านได้ประมาณ 5% คือฟิล์มมีความเข้ม 95% บ้านเราเห็นมันเข้มหรือทึบสุดเลยเรียกว่าฟิล์ม 80%, ฟิล์มเบอร์ xx 20 หมายถึงฟิล์มเบอร์นี้ แสงสามารถส่องผ่านได้ประมาณ 20% หรือฟิล์มเข้ม 80% บ้านเราเรียกฟิล์มเบอร์นี้ว่าฟิล์ม 60%, ฟิล์มเบอร์ xx 50 หมายถึงฟิล์มเบอร์นี้ แสงสามารถส่องผ่านได้ประมาณ 50% หรือฟิล์มเข้ม 50% บ้านเราเรียกฟิล์ม 40% นี่แหละครับความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น
การลดความร้อนของฟิล์มเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งถกเถียงกันไม่จบบ้างก็อยากให้วัดกับหลอดไฟซึ่งผู้บริโภคคงสับสนกันอยู่พอสมควรว่าจะทดสอบและตัดสินใจเลือกกันอย่างไรให้ถูกต้องกันแน่เราจะดูตารางเปรียบเทียบไอความร้อนที่เราได้รับดูกันก่อน ระหว่างแหล่งกำเนิดที่ต่างกัน คือ ระหว่างดวงอาทิตย์กับหลอดไฟ ดังนั้นการพิจารณาในการเลือกฟิล์มกรองแสงจากคุณสมบัติในการลดความร้อนนั้น สามารถใช้หลอดไฟในการเปรียบเทียบได้ คือให้รู้ว่าฟิล์มตัวไหนสามารถลดรังสีอินฟราเรดได้ดีกว่ากัน(ควรจะเทียบใน ระดับฟิล์มที่มีความเข้มระดับเดียวกันหรือใกล้เคียง) ก็จะได้รู้ว่าฟิล์มตัวไหนสามารถลดความร้อนได้ดีกว่า ย้ำนะครับว่าให้เทียบในระดับความเข้มเดียวกัน แต่ก็อย่าคาดหวังว่าจะลดความร้อนได้ดีอย่างที่เรารู้สึก เพราะดวงอาทิตย์มีส่วนประกอบของความร้อนอย่างอื่นประกอบด้วย ถ้าจะเอาค่าการลดความร้อนรวม ดังนั้นการเลือกฟิล์มก็ควรที่จะดูเรื่องโครงสร้างสินค้า-ราคาและการลดความ ร้อนรวมจากแสงแดดเป็นตัวประกอบด้วย จะได้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
ฟิล์มอินฟราเรดเป็นฟิล์มชนิดที่เคลือบสารพิเศษในการไปตัดรังสีอินฟราเรดได้ดี ซึ่งรังสีอินฟราเรดเป็นส่วนประกอบหนึ่งของความร้อน (ดูการลดความร้อนของฟิล์มในช่วงต่อไป) แต่จากการโฆษณาทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าสามารถลดความร้อนได้ดี โดยใช้ตัวเลขในการลดรังสีอินฟราเรดเป็นตัวโฆษณาและมีราคาที่สูงมาก ทำให้ตลาดไม่ค่อยตอบรับเท่าที่ควร แต่ในปัจจุบันมีสินค้าประเภทนี้ที่มีราคาถูกลงให้ได้เลือกกันมากขึ้น